วิธีสังเกตมุกแท้-เทียม

ไข่มุกเป็นอัญมณีล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเนื่องจากความสวยงามของมัน ซึ่งที่จริงแล้วเกิดจากความรำคาญของเจ้าหอยที่มีปฏิกิริยา ต่อสิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในเปลือกของมัน
ไข่มุกแบ่งเป็นชนิดใหญ่ๆ 2 ชนิดคือ ไข่มุกน้ำจืดกับไข่มุกน้ำเค็ม ซึ่งแปลที่มาได้ตรงตัวเลย มุกน้ำจืดมีแหล่งเกิดแถบแม่น้ำ (fresh water) มุกน้ำเค็มมาจากทะเล (salt water)
ไข่มุกแท้จะมีความแข็งและความแวววาวที่กินขาดจากไข่มุกเทียมซึ่งทำมาจากวัสดุที่ด้อยค่ากว่า บางทีเป็นแค่พพลาสติกหุ้มสีวาวๆเท่านั้นสำหรับวิธีพิสูจน์ว่าอันไหนของแท้ของเทียม นอกจากจะดูความวาวและเลื่อมสีที่เห็นได้ชัดแล้ว ทำได้โดยนำไข่มุกมาถูกกับฟัน (อย่าเผลอเคี้ยวเข้าปากล่ะ)ถ้าของแท้จะไม่เป็นรอย และถ้าใช้ลิ้นสัมผัสจะรู้สึกสากๆ ถ้าต้องการ พิสูจน์ด้วยวิธีโหดหน่อย แบบชนิด
ต้องรู้ให้ได้ล่ะวันนี้ ให้ใช้ไฟลน ถ้าเป็นของเทียมมีหวังเหลวไหม้ หรือแตกแต่ไข่มุกแท้จะทนทานแม้จะไหม้ไปบ้างก็เช็ดรอยออกได้
สำหรับไข่มุกดำนั้นมาจากหอยชนิดที่เรียกว่า Pinctada Margaritafera ซึ่งเป็นหอยที่มีเนื้อเปลือกในเป็นสีดำ พบได้ในทะเลแถบเฟรนช์ โพลิเนเซีย ทะเลใต้ หรืออ่าวแคลิฟอร์เนีย ซึ่งไข่มุกดำที่มีชื่อเสียงมากๆมาจากเกาะตาฮิติ ซึ่งตอนหลังเพาะหอยมุกดำได้สำเร็จไข่มุกแต่ละชนิดมีดีในตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่ามีรอยตำหนิน้อยที่สุดแค่ไหน ขนาดเป็นอย่างไร น้ำหนักเท่าไหร่ นอกจากนี้ยัง
ขึ้นอยู่กับการออกแบบเพื่อนำไข่มุกไปทำอัญมณีด้วย
ไพล นี ผู้เชี่ยวชาญอัญมณีคนแรกของโลกที่เขียนเกี่ยวกับไข่มุก เขียนไว้ในหนังสือ Nature History ว่า หอยต้องมีขนาดใหญ่ด้วย บางทีใหญ่เกินไปหอยก็อาจตายได้ หอยอยู่ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะถ้าหวังจะได้ไข่มุกเม็ดใหญ หมายถึงว่าลูกปัดที่จะใส่เข้าไปใน จากการกำเนิดของไข่มุกจะเห็นได้ว่า ไข่มุกเป็นเครื่องประดับสวยงามก็จริง แต่ก็ถือว่ากลั่นแกล้งไข่มุกที่พระนางคลีโอพัตราใช้เดินเกมทางการเมือง เมื่อโรมันแกล้งไม่ต้อนรับพระนางด้วยการเสิร์ฟภาชนะที่ไม่มีอาหารและเครื่องดื่ม ทำให้พระนางต้องละลายไข่มุกจากต่างหูของพระนางเองและดื่มเข้าไป จนชนะใจมาร์ก แอนโธนี นักรบแห่งโรมัน เป็นชิ้นที่มีค่าที่สุดในโลก
ไข่มุกเกิดจากหอยชนิด 2 ฝา หรือหอยนางรมในสกุล Margarututera โดยตัวไข่มุกนั้นเกิดจากการรวมตัวของน้ำเมือกจากต่อมที่สร้างเปลือกหอย น้ำเมือกที่ว่านี้จะมีสีสันแวววาว แม่หอยจะปล่อยน้ำเมือกออกมาเมื่อมีเม็ดทราย หรือเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือแม้กระทั้งเศษไข่ของแม่หอยเองที่เข้าไประคายเคืองอยู่ภายใน ทำให้ต้องปล่อยน้ำเมือกออกมาหุ้มเพื่อไม่ให้ระคายเคือง น้ำเมือก
ที่ออกมาหุ้มเศษวัตถุชิ้นจิ๋วนี้เองจะค่อยๆแข็งเป็นชั้นๆ เรียกว่าการเคลือบของ nacre ซึ่งแต่ละชั้นจะผนึกติดกันด้วยธาตุ conchiolin ใกล้เคียงกับธาตุที่เคลือบฟันของคนเรา
โดยทั่วไปไข่มุกจะมีสีขาว แต่สีอื่นก็มีมากขึ้นอยู่กับระดับความลึกของทะเลและวัตถุเคมีภายในหอย ส่วนการสร้างไข่มุกจะใช้เวลา 3-5 ปี หลักการที่หอยผลิตไข่มุกนี้เอง จึงทำให้คนนำมาทำไข่มุกเลี้ยง เพื่อเร่งการผลิตไข่มุก สำหรับไข่มุกเลี้ยงริเริ่มโดย นายโกกิชิ มิกิโมโต ชาวญี่ปุ่น ผู้ศึกษาชีววิทยาของหอยให้สร้างไข่มุกขึ้นมาได้ โดยนำเปลือกหอยของแม่หอยชิ้นเล็กๆมาทำให้รูปร่างกลมคล้ายลูกปัด แล้วใส่เข้าไปในหอย แล้วนำหอยใส่กรงลวดตาข่ายเอาไปปล่อยไว้ในทะเลทิ้งไว้ราว 3-5 ปี ตัวหอยก็จะปล่อยเมือกออกมาเพราะว่ามันระคายเคือง เมือกจึงก่อตัวเป็นไข่มุกในที่สุดแต่สำหรับไข่มุกเลี้ยงนี้จะเงางาม ไม่เท่าไข่มุกธรรมชาติ เพราะชั้นของเมือกที่เรียกว่า nacre นั้นมีชั้นน้อยกว่า จึงทำให้ผิวของไข่มุกเลี้ยงมันวาวน้อยกว่า แต่คนที่ดูออกต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ
เวลาจะซื้อมุกนั้น คุณต้องคำนึงถึงเรื่องต่อไปนี้เป็นหลัก
-ขนาดและรูปร่าง เป็นเรื่องแรกสุดที่ควรพิจารณาจะได้จำกัดขอบเขตในการเลือกซื้อได้ ไม่ใช่ดูไปเรื่อย เสียเวลาเปล่าๆ ค่ะ นอกจากคุณจะชื่นชอบความเพลิดเพลินในการเลือกซื้อและมีเวลาว่าง มุกนั้นจะมีหลายรูปร่างและขนาด ตั้งแต่เล็กจิ๋วไปจนถึงใหญ่ยักษ์ ปกติควรดูจากรูปแบบเครื่องประดับที่ทำออกมาว่าเหมาะควรกับขนาดและรูปร่างมุกที่ใช้หรือไม่ ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเป็นเข็มกลัดที่ต้องการเน้นให้มุกดูเด่น ก็จะใช้มุกเม็ดใหญ่ น้ำงาม ส่วนสร้อยมุกล้วนแบบคลาสสิคนั้นไม่ว่าเส้นสั้นหรือยาว ต้องมีการคัดเลือกอย่างดีให้มีน้ำมุกสม่ำเสมอกันและไล่ขนาดกันเป็นอย่างดีตลอดเส้น จึงจะเรียกว่าที่สมบูรณ์แบบค่ะ
- สีสัน เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมุกประเภทไหนและรสนิยมส่วนตัวของ คุณเป็นอย่างไร บางคนก็อาจจะชอบมุกสีแปลกๆ อย่างไข่มุกเซ้าธ์ซี มากกว่ามุกสีนวลเกลี้ยงทั่วๆ ไป แต่ยิ่งสีสันประหลาดพิสดารเท่าไหร่ เช่น (สีขาวเหลือบชมพู สีดำ สีควันบุหรี่) ก็ยิ่งแพงมากขึ้นเท่านั้น การจะดูสีของเนื้อมุกให้ได้ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนต้องทาบกับกระดาษหรือฉากหลังสีขาวสะอาดเท่านั้นค่ะ
- ความมันวาวของเนื้อมุก หรือ ภาษาปากเรียกกันว่า "น้ำ" น่ะค่ะ มุกที่ดีจะมีเนื้อมันวาวสดใส เปล่งประกายจากเนื้อในไร้ความหมองคล้ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการหักเหและสะท้อนของแสงที่ส่องมาตกกระทบเปลือก มุกชั้นนอกสุด ถ้ามุกมีความมันวาวมาก แสดงว่าเป็นมุกเนื้อหนาและมาจากหอยมุกที่แข็งแรง แบบนี้ล่ะค่ะที่ควรซื้อ ความเรียบเนียนของผิวชั้นนอกสุด ความจริงแล้วไม่ค่อยจะมีมุกที่เรียบเนียนเกลี้ยงเกลาไปทั้งเม็ดหรอกค่ะ ให้เลือกที่ดูแล้วเกลี้ยงเกลาที่สุด มีตำหนิน้อยที่สุด มีเคล็ดลับอยู่ว่า ถ้าคุณไม่อยากเปลืองสตางค์มาก ให้เลือกมุกที่ผิวมีตำหนิเล็กน้อย เช่น
มีรอยบุ๋มเล็กๆ แต่มีน้ำหรือความมันวาวสูง แค่นี้ก็จะได้มุกสวยๆ แต่ถูกเงิน เพราะความมันวาวที่มีอยู่มากจะเปล่งประกายโดดเด่นจนกลบเกลื่อนรอยตำหนินิดๆ หน่อยๆ บนเนื้อมุกได้ แต่มุกที่ไม่ควรแตะเลยก็คือมุกที่มีตำหนิชัดเจน มีรอยแตกร้าว มีสะเก็ดหรือสิ่งแปลกปลอมฝังอยู่ภายใน ซื้อไปก็มีแต่ราคาตกเปล่าๆ